ช่วงเวลาหนึ่ง
ๆ ของชีวิตคนเราช่างแสนสั้น แม้ว่า ณ ห้วงเวลาที่เรากำลังผ่านเลยมันนั้น
เราจะรู้สึกว่ามันช่างนานเหลือเกินแต่เมื่อเราผ่านพ้นมันไปและหวนกลับมามองมันอีกครั้ง
เราจะพบว่า แม้ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ก็สั้น แม้ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ยิ่งสั้น เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตแค่นั้น
หากเรามองเห็นอดีตเมื่อเราทุกข์ก็อาจทำให้เราร้องไห้ได้
หรือหากเมื่อเรามองเวลาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขก็คงทำให้เราเผลอยิ้ม
ทั้งที่บางครั้ง หากตรึกตรองดี ๆ แล้ว เราอาจจะยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ ว่าทุกข์-สุข
แท้จริงแล้วคืออะไร แค่เรียนรู้และจดจำไปตามที่ใครต่อใครเขารู้เขาพูด
มาตั้งแต่เป็นทารกจนโต
ความทุกข์จริง ๆ แล้วอาจไม่มีอยู่บนโลกนี้เลยก็ได้ แต่อาจเป็นแค่อาการของความไม่มีอยู่..ซึ่งความสุข
ลองคิดดูหากให้คะแนนความสุขทั้งหมด คือ 10 ถ้าเรามีเต็ม 10
นั้นคือเราคงไม่มีความทุกข์ แต่หากวันใดที่ความสุขมันลดลง 1
ความทุกข์ก็คงเพิ่มขึ้นมา 1 และหากถึงวันที่ความสุขไม่เหลือเลย วันนั้นความทุกข์ก็คงเต็ม
10 แทนใช่หรือไม่ มองมุมกลับ...จริง ๆ แล้วไอ้ที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้เลย
อาจจะเป็นความทุกข์ก็ได้ แต่มันอาจเป็นแค่อาการที่เราขาดแคลนซึ่งความสุขหรือมีความสุขอยู่ในระดับต่ำนั่นแหละ
ลองเปรียบเทียบอีกแบบให้เห็นภาพชัดเจน ทุกข์-สุขก็เหมือนตาชั่งแบบ 2 แขน ฝั่งหนึ่งมีความสุขอยู่
ฝั่งหนึ่งมีความทุกข์อยู่ หากฝั่งความสุขเบากว่าขึ้นมาเมื่อไหร่
ใจเราคงหนักไปด้วยความทุกข์ที่มีมากกว่า แต่หากมันเท่ากันล่ะ ก็คงแล้วไปใช่ไหม....
แต่ไม่หรอก ปุถุชนคนธรรมดาเรานั้น น่าพิศวงยิ่งกว่านั้น เพราะพยามที่จะแสวงหาสิ่งต่าง
ๆ มาถ่วงใส่ในข้างของความสุขอยู่ตลอดเวลาไม่เคยพอ แม้แต่ตัวเราเอง
ไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่น ที่พอเข้าใจถึงความเหนื่อยยากในการหาสิ่งที่จะมาเติมซึ่งความสุขเหล่านั้นแท้
ๆ บางครั้งยังมิอาจหักห้ามใจ ให้เลิกขวนขวายหาได้เลย เผลอทำสติหล่นหายทีไรก็วิ่งเข้าใส่ปัจจัยอันที่เราคิดว่าจะสร้างความสุขได้ทุกที
บางครั้งเลยมักได้ความทุกข์กลับมาแทน เพราะพลาดหวังจากปัจจัยแห่งความสุขนั้น
แล้วหากเราเลิกมองหาความสุขละ
ไม่ต้องนำตัวเราไปอยู่ในกองทุกข์กองสุขทั้งสองอย่างนั้น หากมองเป็นตาชั่ง ก็คือการชักดึงตัวเองขึ้นมาจากถาดที่ใส่ความสุขหรือความทุกข์ทั้งสองข้างนั้นเสีย
ถ้าไม่รู้หนทางจะไปไหนก็วางตัวเองลงบนจุดหมุนตรงกึ่งกลางของคานตาชั่งนั่นแหละ
จะได้ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ ไปตามแรงของโมเมนต์ อะไรมันจะเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงก็ปล่อยมันไป
อย่างไรเสียเราอยู่จุดกึ่งกลางแบบนี้ เราไม่มีขึ้นไม่มีลง อยู่ในที่ ๆ เดิม
ตำแหน่งเดิมต่อไป ไม่มีสุข และก็ไม่มีทุกข์ ถ้ามองนับเป็นระดับอย่าง 1-10
ก็คงเป็นการหยุดอยู่ที่เลขศูนย์ เท่านี้เราก็น่าจะพอใจแล้ว แค่ไม่มีทุกข์ก็ดีแล้ว
อย่าไปอยากได้สุขเลย เมื่อเราพยายามมองหาความสุขแล้วเราก็มักจะเจอกับความทุกข์เสมอ
เพราะเขาเป็นของคู่กันตามหลักโลกธรรมแปดประการที่พุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้แล้ว
แต่..แม้รู้กระนั้นแล้ว
เรากลับไม่ทำ ทำไม่ได้ เหมือนเห็นทางจะเดินแล้ว แต่ไม่สามารถเลยที่ก้าวขาออกไป
เหมือนเห็นคำตอบของสมการแล้ว แต่ไม่สามารถจะจรดปากกาเขียนคำตอบของมัน
ตามประสาคนช่างคิดและจินตนาการก็อดคิดไม่ได้
ว่าหรือจะเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่พร้อมใจกัน
ตอกหมุดขึงเชือกไว้ตามตัวตนตามขุมขนของเรา
และยื้อยุดฉุดเราไว้ไม่ให้สามารถเดินไปตามทางที่เห็นอยู่
ไม่ให้เราสามารถเขียนคำตอบของสมการชีวิตได้ อืม...การหาจุดกึ่งกลางของโมเมนต์อาจจะง่าย
ๆ แค่ใช้สูตรทางฟิสิกส์ แต่การจะนำพาตัวเองไปอยู่จุดกึ่งกลางของโมเมนต์แห่งความสงบสุขได้นั้น
ถึงแม้จะมีครูสอนสูตรให้แล้วแต่มันยังดูยากอยู่เลย หากไม่ได้เป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาจองเวรไว้ไม่ยอมปล่อยเราไป
แล้วเป็นที่อะไรล่ะ
.
.
หรือเป็นเพราะตัวเราเอง.....
แสดงความคิดเห็น